36 ชม กับการอยู่อย่างไร้พาสปอร์ต ไอ้คนซุ่มซ่ามเอ๊ย!!!

…… เฮ้ย! เชี่ยแระพาสปอร์ตไปไหนว่ะ (คำถามคำอุทานดังก้องในหัว ) หลังจากผ่าน แฟนมีตทอร และกลับมารอนางๆ ที่ล็อบบี้ รร พร้อมกับหลังจากสาปคยม โทษฐานที่มันดันลุกขึ้นยืนเต็มส่วนสูงของมันอย่างได้จังหวะมากกกกก (แทบกระโดดถีบ) แก!!! นังคยม แย่งยิ้มมินนี่ฉันไปต่อหน้าต่อตา

หลังจาก.. ที่ททจัดการจองตั๋วบินเที่ยวกลับสำหรับ สามคน ฟฟ คยม และเรา (นนและทท จองไว้ก่อนหน้าแล้ว)

กลับขึ้นมาบนห้องพัก เพื่อจัดการกับข้าวของลงกระเป๋าเตรียมตัวพาตัวเองและคณะกลับบ้านวันรุ่งขึ้น แต่… พาสปอร์ต ฉัน มันหายไป~~

หลังจากหาทุกซอกทุกมุม นั่งระลึกชาติ คุมสติ มันก็ยังยืนยัน สเตตัสเดิม คือ หายยยย

นน บอกลองถาม ยยบร ดูว่ามีใครเก็บได้มั่งไหม หรืออาจได้คำแนะนำดีๆ อืม… สุดท้ายก็ไม่

ไม่แปลก เพราะเท่าที่ฟังมา วันงานหายกันหลายอย่าง แต่ กรู ดันหายของสำคัญ โอเค~ ตั้งสติ ทวิตถามบอกเล่าลอยๆ ก็ได้รับความเอ็นดูสงสารช่วยเหลือเป็นห่วงกลับมา ข้อมูลต่างๆ ทั้งขั้นตอนการจัดการตัวเองต้องทำยังไง ไปที่ไหนบ้าง และ เราได้แจ้งกับทาง รร แล้วว่าพาสปอร์ตเราหาย ซึ่งเค้าก็ให้ความช่วยเหลือขั้นต้นดี

คืนนั้น ได้แต่นอนทำใจ ตั้งสติ เช้าค่อยว่ากัน (ประสบการณ์ครั้งแรก แต่ดูเหมือนชิว ชิวบ้ารัย แม่งงง )

เช้าตรู่.. วันที่ 11 วันอาทิตย์ วันที่ควรได้กลับบ้าน

เราตื่นก่อนเพื่อจัดการตัวเอง และไปหารีเซปชั่น รร เพื่อ ทำเรื่องแจ้งความ และติดต่อ กงสุลไทย (ตามขั้นตอนเวลาพาสปอร์ตหายในเวียดนาม) และต้องทำอีกหลายสิ่ง

แต่… มันไม่เป็นแบบนั้น

จากการสื่อสารพ่นอิงงูๆปลาๆ ได้ความว่า สถานีตำรวจที่นี่ไม่เปิดทำงานวันเสาร์อาทิตย์และสถานที่ราชการทุกอย่างก็เช่นกัน วดฟ มาก
แต่เราก็อยากจะลองดู เลยขอร้อง และทาง รร ก็ตอบรับดี คือจัดหา จนท ญ และ security ช ไปกับเราด้วย เนื่องจากการติดต่อต้องใช้ภาษาท้องถิ่น
นั่งแท็กซี่ไป ระหว่างทางก็ ดีเอ็ม คุยกับ นน ว่าเราออกมากับ จนท รร นะ และเด็กๆไม่ต้องรอ ไปกันก่อน ซึ่งรวมถึง ซู เพื่อนที่เวียดด้วย และในใจเราทำใจทิ้งตั๋วไปแล้ว ไฟท์ 11:30 น. ไม่น่าทัน และไม่รู้ว่าจะได้เรื่องกลับเมื่อไหร่
ตอนนั้นในหัวมันอึนไปหมด ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องทำไงต่อ

ไปถึงสถานีตำรวจ จนท เข้าไปสื่อสาร ยื่นใบแจ้งความ ที่เราเขียนไว้เป็นภาษาอังกฤษ และ จนท ได้แปลเป็นเวียดนามให้ จนทตำรวจ อ่าน คุยกันแป็บเดียว ก็ได้คำตอบว่า พรุ่งนี้ให้มาใหม่ วันนี้ไม่ทำเรื่องให้เพราะหยุด

…….. แล้วคือ กลับ รร นั้นหมายความว่า เราต้องติดแหง็กที่นี่อีกวันงั้นหรือ

อย่าถามเรื่องความรู้สึก… พยายามนิ่งสงบ มีสติมากที่สุดแล้วตอนนั้น อ่อ ทอร ยังอยู่ชั้นบนกันครบทุกนาง (คิดว่านะ) เนื่องจากลอบบี้ เริ่มมีคนมานั่งเฝ้ากันมากแล้ว

จนท รร : คุณดูเหนื่อยและเครียดมาก รับน้ำสักแก้วมั๊ย เผื่อจะช่วยดีขึ้น แล้วกินข้าวเช้าหรือยัง
เรา : อืม ค่ะ (ใครจะไปกินลง)

แต่ เค้าก็จัดหาเครื่องดื่มมาให้ อย่างดี และไม่คิดเงินเรา นั้นรวมถึงค่าโทรศัพท์ที่เค้าช่วยติดต่อเรื่องให้ด้วย

สิ่งแรกที่ต้องจัดการ คือ เช็คเอ้าท์ให้ ทท ก่อนเพื่อเคลียร์เงิน และเช็คอินใหม่ให้ตัวเองคนเดียว ห้องเดิม

คำถามคือ ทำไมไม่นอนที่อื่นที่ถูกกว่า ทำไมควรอยู่ที่นี่

เวียดนามเป็นเมืองที่เจริญเป็นจุดๆ รร 5 ดาว เหมือน รร 3 ดาวบ้านเรา ราคาแพง ? ใช่ แต่ความปลอดภัยก็มาก และเค้าใส่ใจกับความเดือดร้อนเราดี ดูแลเราแบบ 5 ดาวจริงๆ อีกอย่าง พาสปอร์ตเราหาย การย้าย รร เป็นเรื่องยาก เพราะมันต้องใช้ในการเช็คอิน

บ่าย 2 โมง ขึ้นมานอน หมดแรง อยู่บนห้อง ที่ทำความสะอาดแล้ว

ช่วงบ่ายหมดไปกับการนอน นอนจริงๆ เย็นๆ ถึงได้เดินสำรวจ รร ชั้นต่างๆ เท่าที่การ์ดในมือจะพาไปได้
ตกคำ่ ได้เวลา ทอร กลับ เราก็ลงไปส่ง ลงไปตัวเปล่าๆ ยืนส่งอย่างเดียวจริงๆ

จนพวกนางขึ้นรถไป สนบ.

คืนนี้ นอนคนเดียว เริ่มชีวิตคนธรรมดาที่ต้องหาทางกลับบ้านให้ได้เร็วที่สุด

……..
เช้าวันจันทร์ที่ 12

เรานัดกับทาง รร ไว้ว่าจะไป สถานีตำรวจอีกครั้งตอน แปดโมง ครั้งนี้มี security ช ไปกับเราแค่คนเดียว แต่นั้นก็มากพอ เค้าดูเทคแคร์เราดี สื่อสารกันรู้เรื่อง ไปถึงยื่นเรื่องตามขั้นตอนเดิม ผลคือ… ให้กลับไปเขียนมาใหม่ ??? วดฟ!!! แล้วทำไมไม่บอกตรูตั้งแต่เมื่อวาน!

กลับมา รร

นั่งเขียนรายงานแจ้งความ อีกครั้ง และครั้งนี้จะไปยื่นที่ สน ตร ใกล้ๆ ที่ รร ตามคำแนะนำของ กงสุลไทย ว่า ยื่น สนตร นี้ดีกว่า (เพิ่งติดต่อ กงสุลไทยได้ตอน กลับมา รร รอบนี้ อ่ะแหละ จนท รร เป็นคนโทรถามให้ ใช้โทรศัพท์. รร ตลอดเรื่อง)

แต่… มันไม่ง่ายแบบนั้น เช้าวันจันทร์ วันที่งานยุ่ง และ สน ตร มีประชุม รับเรื่องได้ บ่าย 2 โมงเป็นต้นไป

ขณะนั้น 11 โมงเช้า ได้แต่ทำใจ อดทน และ รอ ยังแอบมีหวังว่าจะได้กลับบ้านคืนนี้

โอเค งั้นควรรอ และระหว่างรอ ต้องไปถ่ายรูป แน่นอนมันต้องเป็นร้านที่คล้ายๆ ที่เคยเห็นในไทย คือ มันก็ร้านถ่ายรูปธรรมดา แต่ … มัน …

หลังจากสอบถามพิกัดร้านจาก พนง รร ก็เรียกแท็กซี่ไปส่ง ถึงร้านปุ๊บ! สื่อสารภาษาใบ้ ง่ายๆ พร้อมบอก ขนาดรูป และจำนวน ที่ต้องการ ก็รอคิว สักครู่

เราก็มองหา ห้องถ่ายภาพ มันอยู่ตรงไหนหว่ะ มองรอบๆ ก็ไม่เห็นมี มีแค่ห้องกินข้าว ห้องถ่ายเอกสาร แค่นั้น
แล้วคำตอบก็อยู่ตรงหน้า ไอ้ที่เป็นห้องกินข้าวของครอบครัว มันจะมีม่านกั้นสองผื่น สีขาว และ สีน้ำเงิน แขวนติดแทนประตูเข้าออก

เดาออกมั๊ย ว่าใช้ทำอะไร

แล้วเก้าอี้พลาสติกสีน้ำเงิน ที่ใช้นั่งกินก๋วยเตียวบ้านตรู ก็ถูกยกออกมา ม่านสีขาว ที่ตอนนี้ไม่ขาวเท่าไหร่ ถูกรูดปิดทางเข้าออก และ เราถูกเรียกให้ไปนั้นตรงนั้น พนงร้าน หยิบกล้อง แคนนอน เปิดแฟรชหัวกล้อง ออกมา (คือ… กูไม่ต้องเดาภาพที่จะได้เห็นในอีก 15 นาทีข้างหน้าเลยว่าแสงมันจะ เชี่ยแค่ไหน เพราะเราก็คนถ่ายรูป)

ค่ะ นั่งบนเก้าอี้ เหน็บผมถัดหู ตามองตรง และ …. แช๊ะ!!!! อืม เช็คภาพ จนเอาที่กูพอรับได้ ให้มันจบๆไป จ่ายตังค์ และนั้งรอ ผลรูปด่วน 8 ใบ ออกมาไม่ต่างจากที่คาด

ให้กูเซลก้าเองเหอะ น่าจะดูได้มากกว่า จากใจเลย มันเหมือนตราบาปมากจริงๆ

กลับมา รร ด้วยการเดิน เพราะเอาจริงๆ ก็ไม่ไกลมาก

รอ…. บนห้องพัก อย่าง …. อารมณ์ เหมือนลูกหมาหลงทาง ปนอกหัก จากความคาดหวัง

บ่ายโมงครึ่ง เสียงโทรศัพท์ปลุกสติให้ตื่นจากความหดหู่ รีเซปชั่นโทรมาตามเราให้เตรียมตัวอีกครั้ง
(เค้าใส่ใจเราดีจริงๆ)

คราวนี้ไป สนตร ใหม่ อีกมุมถนนหนึ่ง กับ security ช คนเดิม ไปถึงนั่งรอ ส่วน security คนนั้นเดินเรื่องคุยให้

ประมาณ 20 นาทีแห่งการนั้งลุ้น ผสมกับการมองและฟังภาษาเวียด สำรวจชีวิต สนตร ที่นี่ ก็ได้ตราประทับ วินาทีที่เห็น จนทตร ประทับตราลงบนใบแจ้งความ คือ…. เหมือนกรูถูกหวย!

แต่มันยังไม่จบ สเตปต่อไป คือ กงสุลไทย ซึ่งกำลังจะปิด 16:00 น. ขณะนั้น บ่าย สอง ครึ่ง

แท็กซี่คันเดิมที่จอดรอ สตาร์ทเครื่องอีกครั้ง จุดหมายคือกงสุลไทย ซึ่งไกลจากตรงนั้นพอสมควร

บ่าย 3 โมงนิดๆ เหยียบแผ่นดินไทย ชั่วคราว security ติดต่อ ตำรวจในป้อมยาม หน้ากงสุลไทย ว่าเรามาติดต่อทำเรื่อง จึงได้เข้าไปข้างใน ยื่นเรื่องที่เค้าเตอร์ กับ จนท ญ (นางเป็นคนเวียด แต่พูดไทยได้) กรอกเอกสาร สองแผ่น

ตอนนั้นต้องยื่นหลักฐานแสดงตัวว่าเป็นคนไทย

เอางัยดีหว่ะ คือปกติก็มีเพียงพาสปอร์ต แต่มันหายไปแล้วนี่ ไม่งั้นกรูจะมาดิ้นรนอยู่ตรงนี้หรอ ที่เหลือในตอนนั้น ก็มีแต่เลขบัตร ปชช ที่จำได้ในหัว, ภาษาไทย ที่พูดชัด กับเลือดในตัว ซึ่งเค้าคงไม่มีที่ตรวจดีเอ็นเอ โครโมโซม และแค่ภาษาคงไม่เพียงพอ

ตั้งสติ.. เออ มีทะเบียนบ้าน ที่น้องมันเคยส่งเข้าเมลมาให้นี่หว่า / รีบเปิดเน็ตเข้าเมล แล้วแสดงทะเบียนบ้าน ระหว่างนั้น จนท คนนั้นกำลังขอ สำเนาหน้าพาสเราตอนเช็คอินกับทาง รร ที่วันก่อนเรากับทท ได้เช็คอินไว้ ให้ทางนั้นส่งแฟ็คมาให้ มีหลักฐานหล่ะ จากนั้นก็รอ…

15 นาทีผ่านไปอย่าง เชื่องช้า ได้เอกสารที่เรียกว่า ซีไอ มาใช้แทนพาสปอร์ต ชั่วคราว และหนังสือราชการ 2 แผ่น ภาษาอังกฤษ เขียนอธิบายรับรองว่าเราเป็นคนไทยจริง และได้ทำพาสปอร์ตหาย

เอาหล่ะ… แจ้งความแล้ว ได้พาสฯ ชั่วคราวแล้ว จะได้กลับบ้าน??? ยังก่อน ตอนนั้นเกือบจะ 16:00น.

สเตปต่อไปคือ ไป ตม เวียดนาม เพื่อขอ เอ็กซิทวีซ่า (ตามกฏหมายที่นี่ ต้องขอเอกสารสำคัญอันนี้ให้เรียบร้อยก่อน เพื่อใช้เป็นเอกสารขออนุญาตออกนอกประเทศ กรณีพาสฯ สูญหาย และต้องจ่ายเงิน 45 usd เป็นค่าธรรมเนียม )

แท็กซี่คันเดิม security ช คนเดิมที่มากับเราทั้งวัน ออกเดินทางอีกครั้ง

ตมเวียด อยู่ไม่ไกลจากที่พัก เหมือนนั่งรถ วนชมรอบเมือง ฮจม แต่นั้น อารมณ์ตอนนั้นไม่สุนทรีพอจะช่ืนชมมัน

Security ช. เค้าไปติดต่อ รับบัตรคิวให้เรา ก่อน 16:00 แล้วพาไปยื่นเรื่อง (สภาพสถานที่ เหมือน ตม ชายแดน มีช่องรับบัตรคิว มีเก้าอี้ให้นั่งแบบนั่งรอรถโดยสาร มีช่องรับยื่นเรื่อง 9 ช่อง และคนมากมายอ่อกันอยู่ในนั้น)

….. ตม ช หน้าตา ไม่รับแขก บอกกลับมาอย่างไร้เยื่อใยว่า ต้องกรอกเอกสารอีกแผ่น โดยมีตัวอย่างให้ดู เป็นฟอร์มขอทำเรื่อง สรุปคือ… ต้องมาใหม่ วันรุ่งขึ้น

และนั้นคือ เราต้องค้างที่นี่อีกคืน

ขากลับเรากับ security ช คนเดิมเดินกลับ รร มันใกล้กันจริงๆ เดิน 10 นาที เท่านั้น

มาถึง รร ด้วยสภาพที่หดหู่ แต่ก็ขอบคุณ security ช คนนั้นที่ไปกับเราทั้งวัน โดยที่ไม่ได้ค่าจ้าง หรืออะไร นอกจากคำขอบคุณจากเรา รร เค้าไม่ปล่อยให้เราไปไหนคนเดียวเลยหลังจากเกิดเรื่อง นอกจากไปร้านถ่ายรูป กับแลกเงินเพิ่ม และมินิมาร์ท ข้างๆ รร
อาจเป็นเพราะเราต้องใช้ล่าม ในการติดต่อเรื่องทั้งหมด ระบบราชการที่นี่ ภาษาท้องถิ่นล้วนๆ และมันจะช่วยให้เรื่องเร็วขึ้น (มั้ง)

หมดไปอีกหนึ่งวัน กับ สภาพที่ล้าทางอารมณ์สุดๆ

………..

เช้าวันอังคารที่ 13

หลังจากตื่นนอนในสภาพที่เหมือนอดนอน สิ่งแรกที่ทำคือจัดการตัวเองให้พร้อมรับมือกับทุกเรื่องในวันนี้ และส่งเมลแจ้งเจ้านายที่ไทยว่าเรายังกลับไปไม่ได้ เรื่องอยู่ขั้นตอนไหน พร้อมเอกสารประกอบ ห่วงงานก็ห่วง แต่มันทำอะไรไม่ได้ เสียดายวันลาพักร้อนที่ต้องลาเพิ่มขึ้นด้วย

แล้วเสียงโทรศัพท์ก็ดัง อีกครั้งที่ลงไปกรอกเอกสารแบบฟอร์มขอเอ็กซิทวีซ่า ทาง รร จัดเตรียมให้รอไว้แล้ว เราแค่กรอกตามคำแนะนำของ จนท จากนั้น เดินเท้าไปที่ ตม เวียดอีกครั้ง

วันนี้ security การ์ดคนเดิม เราทักทายกันตามปกติ

ถึงตม กดบัตรคิว และ ไปรอช่องเดิม จนท คนเดิม หน้า แม่ง อารมณ์เดิม
เราเข้าไปยื่นเอกสารคนเดียว สื่อสารภาษาอังกฤษ กับ จนท พอเข้าใจ ใช่… และมันก็ไม่ผ่าน

ฟอร์มที่เรากรอกมา มันผิด อีกแล้ว อืม security เข้ามาช่วยถามว่าแล้วมันต้องใช้ฟอร์มไหน คำตอบคือ ไปขอจากด้านหน้าที่กดบัตรคิวนั้นแหละ

(แล้วทำไมเ… มิง ไม่บอกตั้งแต่เมื่อวานค่ะ)

เอาฟอร์มมากรอกใหม่ อีกครั้ง

แล้วยื่นเรื่อง รอ… จนได้เอกสารตอบรับนัดให้มารับเรื่อง แน่นอน ภาษาราชการล้วนๆ และกรูอ่านไม่ออก

ไม่เป็นรัย มีปาก ก็ถาม จนท ว่าจะได้วันนี้มั๊ย เค้าก้อหยิบกระดาษบัตรคิวเรามาพลิกด้านหลัง เขียนด้วยลายมือ อย่างกับใบ้หวยว่า “3:30”

บอกว่าให้เรากลับมาอีกครั้ง

ด้วยความที่ยังไม่เก็ท เลยเอามาถามการ์ดที่มาด้วยกัน เค้าบอกว่า เอกสารใบรับเรื่อง แจ้งให้เรามารับวันที่ 20/01
แต่ไอ้กระดาษแผ่นเล็กๆ มันน่าจะวันนี้บ่ายสาม

สรุป กลับไป รร และรอเพื่อที่จะกลับมาใหม่อีกครั้ง พร้อมความหวัง

ระหว่างที่รอเวลา กว่าจะถึงบ่ายสาม เราฆ่าเวลาด้วยการไปแลกเงินจาก ดองเป็น ดอลล่า เช่นเดิม รร จัดหาแท็กซี่ให้ พาไปร้านที่นิยมแลกกัน และให้เค้ารอรับเรากลับ เราไปคนเดียว แต่นั้นมันก็โอเคอยู่

ช่วงบ่าย รร กับเราคุยกัน ตกลงกันที่เราน่าจะเช็คเอ้าท์ได้เลย ดูๆ แล้วเราน่าจะได้กลับวันนี้

ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่สุด เราแพ็คกระเป๋า และเคลียร์เงิน ฝากของจำเป็นไว้กับ รร และเตรียมไป ตมอีกครั้ง

ครั้งนี้การ์ดเปลี่ยนคน เป็นเด็กหนุ่ม ตัวกะทัดรัด ร่างบาง แต่อัธยาศัยดีเช่นเดิม

เราเดินไปด้วยกันเงียบๆ และดูเค้าทำหน้าที่การ์ด อย่างที่เราสัมผัสได้ คงเป็นเพราะก่อนออกมา ผู้จัดการเรียกไปคุยกำชับเรื่องความปลอดภัยมั้ง

พอไปถึง เราเดินเข้าไปหา จนท คนเดิม คุยชี้แจ้ง ผลที่ออกมาคือ

เรื่องเรายังไม่เสร็จ และให้มาใหม่ในวันรุ่งขึ้นตอน 10:00 เช้า

………..

…………

อึ้งจนสรรหาคำพูดไม่ออก

และแน่นอน เราทำทุกวิธี ทุกทาง อ้อนวอน พูดขอร้อง เพราะเราคืนห้องแล้ว และบอกไปแล้วว่า เราจองตั๋วบินกลับไว้แล้วคืนนี้ เรามีงานสำคัญ รออยู่ที่ไทย

แต่… คำตอบที่ได้คือ ให้มาใหม่วันพรุ่งนี้ ดูนอททอคเอนนี่ติง

วดฟ!!! ยอมรับว่าตอนนั้น อารมณ์นั้นเราฟิวขาด การ์ดที่ไปด้วย โทรกลับไปหา ผจก ที่ รร แจ้งความคืบหน้าที่เราเจอ เราขอสายคุยกับ ผจก คนนั้น ให้เค้าช่วย แต่เค้าบอกแต่ให้เราใจเย็นและกลับ รร ก่อน

ดูเวลา ตอนนั้น 16:00 ที่นี่ตม ปิด 17:00 นั้นหมายความว่า เรา….. กำลังหมดหวังที่จะได้กลับ

ไม่มีทางเลือกอื่นที่จะทำได้นอกจากเดินกลับ รร ตลอดทางที่กลับ เรารู้ตัวว่าโกรธโมโห เสียใจ ผิดหวัง มันปนเปกันหมด และเงียบตลอดทาง ยิ่งเงียบ การ์ดที่ไปด้วย เหมือนจะสัมผัสสิ่งเหล่านั้นได้ เค้าดูกลัวเรา

เมื่อถึงรร เราถูกพามานั้งที่ด้านหลังตรงที่เคยนั้งเฝ้า ทอร. พร้อมๆ กับ ผจก คนนั้น มาพูดคุยให้เราใจเย็นและเค้ากำลังหาทางช่วย โดยขอเลขเอกสารของเรา ส่งให้คนที่เค้ารู้จัก และคิดว่าจะช่วยเดินเรื่องให้ได้

ระหว่างที่รอ ผจก รร ติดต่อเพื่อช่วย ตอนนั้น มีฝรั่งคนหนึ่งเดินเข้ามาหาเรา เราจำได้ว่าเป็นคนเดียวกับที่คอยดูแล ทอร ตลอดเวลาที่ พวกนางอยู่ รร เค้าเดินเข้ามาทักทายจับมือ แนะนำตัว ให้นามบัตร กับเรา ถึงได้รู้ว่า เค้าเป็นไดเร็คเตอร์ของที่นี่

เค้าถามไถ่เราถึงเรื่องที่เกิด และความคืบหน้าจาก ผจก คนนั้น จากนั้นก็พาเราไปนั้งที่บาร์เครื่องดื่ม ถามว่าเราต้องการกาแฟ หรือ ชา ตอนนั้นบอกตรงๆ ไม่มีความต้องการอะไรทั้งนั้น แต่เพราะเกรงใจ และขอบคุณที่เค้าใส่ใจเรา เราจึงขอชาร้อน

และมันก็ช่วยผ่อนคลายเราได้มากขึ้น เวลาเราจิบของร้อนๆ เราต้องมีสติใช่มั๊ย เพราะไม่งั้นมันคงจะลวกปากถ้าเราไม่ระวัง

สติกลับมาพอสมควร เค้าชวนเรานั้งคุย ระหว่างรอ เราคุยกันเรื่องต่างๆ ที่มาของเรา เรื่องพื้นเพของเค้า และยังเสนอความช่วยเหลือเรื่องที่พัก คืนนี้ หากเราไม่ได้กลับจริงๆ จนกระทั่ง ผจก มาบอกว่า ไป ตม กันอีกครั้ง

ครั้งนี้ เรานั่งแท็กซี่ไป กับ ผจก คนนั้น

เมื่อไปถึงเราไปนั้งรอ ปล่อยให้ ผจก เป็นคนจัดการทุกอย่าง เรารอ … พร้อมกับมองเข็มนาฬิกาที่ใกล้จะ 17:00 เข้าไปทุกที

อีกสิบนาที 17:00 ผจก เรียกเราไปหา แล้วทุกอย่างโอเค เอกสารสำคัญ อยู่ในมือเราแล้ว
และให้เราไปอีกช่องเพื่อจ่ายเงิน

นาทีนั้นอยากจะกอดขอบคุณเค้ามากๆ แต่… ไปจ่ายเงินก่อน

เราจำไม่ได้ว่า เราขอบคุณเค้าไปกี่รอบ ฝากขอบคุณพนงของรร ทุกคนที่ดูแลเราช่วยเราตลอดสามวัน
เราถามว่าทำไมเค้าถึงออกแรงช่วยเราขนาดนี้ เค้าบอกว่า คงเป็นเพราะเราคล้ายน้องสาวเค้ามั้ง เราอายุใกล้ๆกับน้องสาวเค้า และเห็นเราเหลือตัวคนเดียว ขอบคุณจริงๆ

เมื่อทุกอย่างดูจะเรียบร้อย เรากลับมาจองตั๋วกลับ (ขนาดจองตั๋วกลับ เราใช้คอมพ์ที่ล็อบบี้ พนง ยังเข้ามาถามว่าเราสามารถจองได้ใช่มั๊ยมีตั๋วนะ และจะเรียกแท็กซี่ให้ นายฝรั่งเดินเข้ามาถามอีกครั้งว่าทุกอย่างเรียบร้อยนะ เราขอบคุณเค้าไปอีกรอบ)

มีสองไฟท์ให้เลือก แต่ดูจากเวลาแล้ว หกโมงครึ่งคงไม่ทัน เราไม่อยากมีประสบการณ์วิ่งปอดแทบฉีกเกือบตกเครื่องเหมือนครั้งไปญี่ปุ่น อีกแล้ว เหนื่อยเกินไป
เลยเลือกบินสามทุ่มครึ่ง

แล้วก็ไป สนบ กลับบ้านกัน

…………….

ขอบคุณทุกความห่วงใยทั้งไทยและเวียด ที่ถามไถ่มาตลอดเวลาที่เกิดเรื่อง

ขอบคุณทุกความช่วยเหลือ ทั้งข้อมูล ทั้งความปลอดภัย

ขอบคุณโชคชะตาที่ให้เราได้ประสบการณ์ ที่ไม่สามารถหาที่ไหนได้ ถ้าเราไม่เดินทาง

ขอบคุณค่ะ

Park Hyomin (T-ara) 티아라 ‘효민’

[성균관대전성시대] 제 6호 가수 티아라 ‘효민’ 놀이터
[출처] [성균관대전성시대] 제 6호 가수 티아라 ‘효민’

작성자 성인마초

[성균관대전성시대] 제 6호 가수 티아라 ‘효민’

티아라 효민씨의 촬영.

외외로 바쁜 와중에도 시간을 많이 할애해 주셔서 다양한 연출을 할 수 있었다.
야외샷도 마다하지 않고 해주신… 이럴줄 알았으면 렌즈 좀 렌탈할걸..!

이런저런 요구에도 친절하게 촬영에 임해주신 효민씨 감사합니다.
[출처] [성균관대전성시대] 제 6호 가수 티아라 ‘효민’|작성자 성인마초

IMG_5108 IMG_4977 IMG_4985 IMG_5046

IMG_5114 IMG_5091

IMG_5047IMG_5138

Title                             [성균관대전성시대] 제 6호 가수 티아라 ‘효민’
Director of Photography  Lee doyoun
Planning                      성균관대전성시대
Production                   no’lee’tor
Canon eos 6d + canon 50.8 + tamron 28-75 2.8
Premiere pro cs5.5 + Photoshop cs6
*성균관대전성시대의 미디어 자료는 no’lee’tor가 협력합니다.

[출처] [성균관대전성시대] 제 6호 가수 티아라 ‘효민’|작성자 성인마초

Thank you credit 🙂 http://blog.naver.com/leedoyoune/50187618663

Phu Kradueng National Park @ Thailand

Phu Kradueng National Park @ Thailand

DSC_0151

Phu Kradueng National Park (Thai: อุทยานแห่งชาติภูกระดึง), located in the Phu Kradueng mountain area, Amphoe Phu Kradueng of Loei Province, is one of the most famous national parks of Thailand, with a high point of 1316 m (4318 ft) above sea level. Every year tens of thousands of people come to make the climb up this famous mountain. It received the title of a nationally protected forest in the year 1943, and was proclaimed a national park on the 7th of October 1959, the second national park of Thailand after Khao Yai National Park.

DSC_0356

The park is closed to visitors during the rainy season (1 June – 30 September).[1]

DSC_0229

Maples are variously classified in a family of their own, the Aceraceae, or together with the Hippocastanaceae included in the family Sapindaceae. Modern classifications, including the Angiosperm Phylogeny Group system, favour inclusion in Sapindaceae. The type species of the genus is Acer pseudoplatanus (Sycamore maple).[3]
There are approximately 128 species, most of which are native to Asia,[4] with a number also appearing in Europe, northern Africa, and North America. Only one species, the poorly studied Acer laurinum, is native to the Southern Hemisphere.[5] Fifty-four species of maples meet the International Union for Conservation of Nature criteria for being under threat of extinction in their native habitat.[5]

Cr: wikipedia.org

Sakura @ The Royal Agricultural Station Angkhang

Sakura @ The Royal Agricultural Station Angkhang

ดอยอ่างขาง มีต้นซากุระแท้ๆ จากญี่ปุ่นปลูกไว้ให้นักท่องเที่ยวได้ชมและถ่ายรูปกันภายในสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง
ความแตกต่างระหว่างนางพญาเสือโคร่งและซากุระญี่ปุ่น ลักษณะนางพญาเสือโคร่ง ดอกมีสีชมพูอ่อน ลำต้นจะมีลายเป็นขั้นๆ ใบเรียวยาว ปลายใบแหลม ส่วนลักษณะซากุระญี่ปุ่น ดอกมีสีชมพูเข้ม เป็นดอกซ้อน ขนาดดอกใหญ่กว่าดอกนางพญาเสือโคร่ง ลำต้นไม่เป็นลายขั้นเหมือนนางพญาเสือโคร่ง ใบไม่มันวาว ใบเป็นลักษณะวงรี แต่ปลายใบไม่แหลม

ที่มา : ท่องเที่ยวโครงการหลวง
http://www.thairoyalprojecttour.com/?p=2308

Wild Himalayan Cherry นางพญาเสือโคร่ง

Wild Himalayan Cherry นางพญาเสือโคร่ง

นางพญาเสือโคร่ง (ชื่อวิทยาศาสตร์: Prunus cerasoides[3], อังกฤษ: Wild Himalayan Cherry) เป็นพืชดอกในสกุล Prunus ออกดอกช่วงเดือนกุมภาพันธ์ พบทั่วไปบนดอยสูง เช่น ภูลมโล จังหวัดเลย, ดอยแม่สลอง จังหวัดเชียงราย, ดอยเวียงแหง ขุนช่างเคี่ยน ขุนแม่ยะ จังหวัดเชียงใหม่, ขุนสถาน ดอยวาว ดอยภูคา และมณีพฤกษ์[4] จังหวัดน่าน โดยเป็นดอกไม้ประจำอำเภอเวียงแหง นางพญาเสือโคร่ง เป็นพรรณไม้ที่มีการกระจายพันธุ์ตามธรรมชาติอยู่ที่ตอนเหนือของประเทศไทย ทางตอนใต้ของประเทศจีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน และถูกนิยมเรียกว่า”ซากุระเมืองไทย” เพราะมีลักษณะคล้ายซากุระ แม้จะเป็นคนละชนิดกันก็ตาม

Prunus cerasoides, the Wild Himalayan cherry, is a deciduous cherry tree found in East Asia. It is of the family Rosaceae and the genus Prunus.

Its range extends in the Himalayas from Himachal Pradesh in north-central India, to Southwest ChinaBurma and Thailand. It grows in the temperate forests from 1,200–2,400 metres (3,900–7,900 ft) in elevation.

 

ที่มา:วิกิพีเดีย